บทที่ 2
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
ในการศึกษาเพื่อสร้างชุดฝึกปฎิบัติเครื่องยนต์แก๊สโซลีนระบบฉีดเชื้อเพลิงแอลพีจี เพื่อนำไปใช้ประกอบเป็นสื่อการสอนในรายวิชางานซ่อมเครื่องยนต์แก๊สโซลีน ตามหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) พุทธศักราช 2546 ผู้ศึกษาได้ลำดับหัวข้อการศึกษาเอกสารงานวิจัยและงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องดังนี้
2.1 ความหมายของหลักสูตรรายวิชา
หลักสูตรรายวิชาที่นำมาสร้างและหาประสิทธิภาพชุดฝึกปฎิบัติครื่องยนต์แก๊สโซลีน
ระบบฉีดแอลพีจี คือ หลักสูตรรายวิชางานซ่อมเครื่องยนต์แก๊สโซลีน รหัส 3101-2105 สาขางานยานยนต์ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) พุทธศักราช 2547 ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
ตารางที่ 1 แสดงหน่วยการเรียนรู้วิชางานซ่อมเครื่องยนต์แก๊สโซลีน ตลอดหลักสูตร
หน่วยที่ |
ชื่อหน่วย |
จำนวนคาบ |
1 |
งานบริการตามระยะกำหนด |
10 |
ผู้ศึกษานำหน่วยการเรียนรู้ที่ 2 และ 3 มาสร้างและหาประสิทธิภาพของชุดฝึกปฏิบัติเครื่องยนต์แก๊สโซลีนระบบฉีดเชื้อเพลิงแอลพีจี
รายละเอียดหน่วยการเรียนรู้ที่....และหน่วยการเรียนรู้ที่...
ตารางที่ 2 แสดงหน่วยการเรียนรู้ที่นำมาพิจารณาสร้างและหาประสิทธิภาพชุดฝึกปฎิบัติเครื่องยนต์แก๊สโซลีนระบบฉีดเชื้อเพลิงแอลพีจี
หน่วยที่ |
ชื่อหน่วย |
จำนวนคาบ |
2 |
งานปรับแต่งเครื่องยนต์ |
25 |
2.2 หลักการออกแบบสร้างชุดฝึกปฎิบัติ
ชุดฝึกปฏิบัติเครื่องยนต์แก๊สโซลีนระบบฉีดเชื้อเพลิงแอลพีจี หมายถึงชุดฝึกปฏิบัติิเครื่องยนต์แก๊สโซลีนที่ใช้ฝึกปฏิบัติการปรับแต่งเครื่องยนต์
วิเคราะห์สภาพเครื่องยนต์และสามารถตรวจสอบแก้ไขปัญหาข้อขัดข้องของเครื่องยนต์แก๊สโซลีนระบบฉีดเชื้อเพลิงแอลพีจีได้
หลักการสร้างชุดฝึกปฏิบัติ
2.2.1 ศึกษาข้อมูล ผู้ศึกษาได้เก็บรวบรวมข้อมูล การสร้าง ชุดฝึกปฎิบัติ เครื่องยนต์แก๊สโซลีนระบบเชื้อเพลิงแอลพีจี จากแหล่งต่างๆ เช่น คู่มือการซ่อมของบริษัทผู้ผลิต ตำรา วิทยานิพนธ์ ซึ่งสามารถสรุปข้อมูลที่นำมาสร้างชุดฝึกปฏิบัติคืออุปกรณ์และวงจรเครื่องยนต์แก๊สโซลีน
ระบบฉีดเชื้อเพลิงแอลพีจี
2.2.2
ออกแบบสร้างชุดฝึกปฏิบัติ การออกแบบเป็นการนำเอาข้อมูลจากการศึกษามาทำการร่างแบบ เพื่อสร้างชุดฝึกปฏิบัติ ซึ่งการร่างแบบนั้นผู้ศึกษาจำแนกได้ดังนี้
2.3 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
ในการดำเนินการสร้างและหาประสิทธิภาพชุดฝึกปฎิบัติเครื่องยนต์แก๊สโซลีนระบบฉีดเชื้อเพลิงแอลพีจี ผู้ศึกษาได้ศึกษางานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นแนวทางในการสร้างเครื่องมือดังต่อไปนี้
2.3.1 ก๊าซธรรมชาติ
ก๊าซธรรมชาติ เป็นพลังงานปิโตรเลียมชนิดหนึ่ง เช่นเดียวกับน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติและถ่านหินก็คือซากพืชและซากสัตว์ที่ทับถมกันมานาน
หลายแสนหลายล้านปีและทับถมสะสมกันจนจมอยู่ใต้ดินแล้วเปลี่ยนรูปเป็นสิ่งที่เรียกว่าฟอสซิลระหว่างนั้นก็มีการเปลี่นแปลงตามธรรมชาติจนซากพืช
และซากสัตว์หรือฟอสซิลนั้นกลายเป็นน้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติและถ่านหินที่เรานำมาใช้ประโยชน์ได้ในที่สุด เราจึงเรียกเชื้อเพลิงประเภทน้ำมันก๊าซ
ธรรมชาติและถ่านหินว่าเชื้อเพลิงฟอสซิลในทางวิทยาศาสตร์เรารู้กันดีว่าต้นพืชและสัตว์รวมทั้งคนประกอบด้วยเซลล์เล็กๆมากมาย เซลล์เหล่านี้
ประกอบด้วยธาตุไฮโดรเจนและธาตุคาร์บอนเป็นหลัก เวลาซากพืชและซากสัตว์ทับถมและเปลี่ยนรูปเป็นน้ำมันหรือก๊าซธรรมชาติหรือถ่านหิน พวกนี้จึงมีองค์ประกอบของสารโอโดรคาร์บอนเป็นส่วนใหญ่ และเมื่อนำไฮโดรคาร์บอนเหล่านี้มาเผา จะให้พลังงานออกมาแบบเดียวกับที่เราเผาฟืน เพียงแต่เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น น้ำมันก๊าซธรรมชาติ หรือถ่านหิน ให้ความร้อนมากกว่าก๊าซธรรมชาติ มีก๊าซหลายอย่างประกอบเข้าด้วยกัน มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ ว่ามีเทน อีเทน โพรเพน บิวเทนฯลฯ แต่โดยทั่วไปจะประกอบด้วยก๊าซมีเทน
2.3.1.1 คุณสมบัติทั่วไปของก๊าซธรรมชาติ
1. เป็นเชื้อเพลิงปิโตรเลียมชนิดหนึ่งเกิดจากการทับถมของสิ่งมีชีวิตนับล้านปี
2. เป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนประกอบด้วยก๊าซมีเทนเป็นหลัก
3.
ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ปราศจากพิษ ส่วนมากกลิ่นที่เราคุ้นเคยจากก๊าซธรรมชาติ เป็นผลมาจากการเติมสารเคมีบางประเภทลงไป เพื่อให้ผู้ใช้รู้ได้ทันท่วงทีเมื่อเกิดเหตุก๊าซรั่ว
4. เบากว่าอากาศ (ความถ่วงจำเพาะ 0.5-0.8 เท่าของอากาศ)
5. ติดไฟได้ โดยมีช่งของการติดไฟที่ 5-15 % ของปริมาตรในอากาศ และอุณหภูมิคงที่ สามารถติดไฟได้เอง คือ 537-540 องศาเซลเซียส
2.3.1.2 ก๊าซปิโตรเลียมเหลว กับก๊าซหุงต้ม (LPG)ก๊าซหุงต้ม มีชื่อเป็นทางการว่าก๊าซปิโตรเลียมเหลว (liquefied petroleun gas : LPG) หรือเรียกย่อๆ ว่า แอลพีจี เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการแยกน้ำมันดิบในโรงกลั่นน้ำมันหรือการแยกก๊าซธรรมชาติ ในโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ก๊าซปิโตรเลียมเหลวประกอบด้วยส่วนผสมของไฮโดรคาร์บอน 2 ชนิด คือ โพรเพนและบิวเทน ในอัตราส่วนเท่าใดก็ได้ หรืออาจจะเป็นโพรเพนบริสุทธิ์ 100 % หรือบิวเทนบริสุทธิ์ 100 % ก็ได้ สำหรับประเทศไทยก๊าซหุงต้มส่วนใหญ่ได้จาก
โรงแยกก๊าซธรรมชาติดดยใช้อัตราส่วนผสมของโพรเพน และบิวเทนประมาณ 70:30 ซึ่งจะให้ค่าความร้อนที่สูง ทำให้ผู้ใช้ประหยัดเวาและ
ค่าเชื้อเพลิงก๊าซปิโตรเลียมเหลวสามารถใช้เป็นเชื้อเพลิงในการหุงต้มในครัวเรือน ในโรงงานอุตสาหกรรม และในยานพาหนะได้ เช่นเดียวกับก๊าซธรรมชาติที่สามารถใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้า ในโรงงานอุตสาหหรรม และในยานพาหนะ แต่ในประเทศไทยยังไม่มีการนำก๊าซธรรมชาติมาใช้งานในครัวเรือนโดยตรง ด้วยคุณสมบัติในการเป็นเชื้อเพลิงติดไฟของก๊าซธรรมชาต
ิและก๊าซหุงต้ม เพื่อความปลอดภัย ผู้ใช้ต้องใส่ใจในการปฎิบัติตมกฎความปลอดภัยในการใช้งานอย่างเคร่งครัด
2.3.2 คุณสมบัติทั่วไปของ LPG
ตารางที่ 3 คุณสมบัติของก๊าซธรรมชาติและก๊าซหุงต้ม (LPG)
ข้อเปรียบเทียบ |
ก๊าซธรรมชาติ |
ก๊าซหุงต้ม(LPG) |
ความปลอดภัย |
มีความปลอดภัยสูงเนื่องจาก เบากว่าอากาศ เมื่อเกิดการรั่วไหล จะลอยขึ้นสู่อากาศทันที |
เนื่องจากหนักกว่าอากาศ เมื่อเกิดการรั่วไหลจะกระจายอยู่ตามพื้นราบ |
ความพร้อมในการนำมาใช้งาน |
สถานะเป็นก๊าซนำไปใช้ได้เลย |
สถานะเป็นของเหลว ต้องทำให้เป็นก๊าซ ก่อนนำไปใช้งาน |
ประสิทธิภาพการเผาไหม้ |
เผาไหม้ได้สมบูรณ์ |
เผาไหม้ได้สมบูรณ์ |
คุณลักษณะของเชื้อเพลิง |
ไม่มีสี ไม่มีกลิ่นเผาไหม้ ปราศจากเขม่าและกำมะถัน |
ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น แต่โดยทั่วไปจะเติมสารเคมีเพื่อความปลอดภัย |
จำนวนสถานีบริการ |
36 แห่ง (ก.ค.48) |
กว่า 200 แห่งทั่วประเทศ |
ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) เป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอน ซึ่งมีองค์ประกอบของก๊าซโพรเพน (Propane) เป็นส่วนใหญ่ จึงเป็นก๊าซที่หนักกว่าอากาศ โดยตัว LPG เองไม่มีสี ไม่มีกลิ่น เช่นเดียวกับก๊าซธรรมชาติ แต่เนื่องจากเป็นก๊าซที่หนักกว่าอากาศจึงมีการสะสมและลุกไหม้ได้ง่าย ดังนั้น จึงมีข้อกำหนดให้เติมสารมีกลิ่น เพื่อเป็นการเตือนภัยหากเกิดการรั่วไหล LPG ส่วนใหญ่จะใช้เป็นเชื้อเพลิงในครัวเรือน และกิจการอุตสาหกรรม โดยบรรจุเป็นของเหลวใส่ถังที่ทนความดัน เพื่อให้ขนถ่ายง่าย นอกจากนี้ ยังนิยมใช้แทนน้ำมันเบนซินในรถยนต์ เนื่องจากราคาถูกกว่าและมีค่าออกเทนสูงถึง 105 RON
ตารางที่ 4 ตารางเปรียบเทียบคุณสมบัติของ NGV และ LPG
คุณสมบัติ |
NGV |
LPG |
|
สถานะปกติ |
|
ก๊าซ (เบากว่าอากาศ) |
ก๊าซ (หนักกว่าอากาศ) |
จุดเดือด (องศาเซลเซียส) |
|
-162 |
-50 ถึง 0 |
อุณหภูมิจุดระเบิดในอากาศ (องศาเซลเซียส) |
|
540 |
400 |
ช่วงติดไฟในอากาศ |
ค่าสูง |
15 |
15 |
ค่าต่ำ |
5 |
1.5 |
|
ค่าออกเทน1/ |
RON2/ |
120 |
105 |
|
RON3/ |
120 |
97 |
ที่มา: บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน)
หมายเหตุ:
ตารางที่ 5 ตารางแสดงคุณสมบัติด้านความปลอดภัยเปรียบเทียบ
ข้อเปรียบเทียบ |
ก๊าซ NGV |
ก๊าซ LPG |
น้ำมันเบนซิน |
น้ำมันดีเซล |
สถานะ |
เป็นก๊าซที่มีความดันประมาณ |
เป็นก๊าซที่จัดเก็บในรูปของเหลวทีมีความดัน 7 บาร์ |
เป็นของเหลว |
เป็นของเหลว |
น้ำหนัก |
เบากว่าอากาศ |
หนักกว่าอากาศ |
หนักกว่าอากาศ |
หนักกว่าอากาศ |
ขีดจำกัดการติดไฟ (Flammability Limit, %) |
5-15 % |
2.0-9.5 % |
1.4-7.6 % |
0.6-7.5 % |
อุณหภูมิติดไฟ |
650 ํc |
481 ํc |
275 ํc |
250 ํc |
หมายเหตุ:
1. ค่าออกเทน (Octane number) หมายถึง หน่วยการวัดความสามารถ ในการต้านทาน
การน็อคของเครื่องยนต์
2. RON (Research Octane number) เป็นค่าออกเทนที่ประสิทธิภาพต่อต้านการน็อคใน
เครื่องยนต์หลายสูบ ที่ทำงานอยู่ในรอบของช่วงหมุนต่ำ โดยใช้เครื่องยนต์ทดสอบมาตรฐานภายใต้สภาวะมาตรฐาน 600 รอบ ต่อนาที
3. MON (Motor Octane number) เป็นค่าออกเทนที่มีประสิทธิภาพต่อต้านการน็อคใน
เครื่องยนต์หลายสูบ ในขณะทำงานที่รอบสูง โดยใช้เครื่องยนต์ทดสอบมาตรฐานภายใต้สภาวะมาตรฐาน 900 รอบ ต่อนาที
ข้อมูลเกี่ยวกับก๊าซปิโตรเลียมเหลว LPG (Liquefied Petroleum Gas)
ก๊าซปิโตรเลียมเหลว LPG (Liquefied Petroleum Gas) เป็นสารประกอบจาก
ไฮโดรคาร์บอน โดยมีองค์ประกอบของก๊าซโพรเพน (Propane) เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งมีคุณสมบัติเป็ก๊าซที่หนักกว่าอากาศ โดยก๊าซ LPG นั้นจะไม่มีสี ไม่มีกลิ่นเช่นเดียวกับก๊าซ NGV เหตุผลที่มีกลิ่นเนื่องมาจาก ว่า LPG นั้นเป็นก๊าซที่หนักกว่าอากาศ เมื่อเกิดการรั่วจะสะสมอยู่ในบริเวณนั้น จึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดการติดไฟได้ง่าย ดังนั้น จึงมีข้อกำหนดให้มีการเติมสารมีกลิ่น เพื่อเป็นการเตือนภันในกรณีที่มีการรั่วซึมเกิดขึ้น จะได้สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดได้ทัน ก๊าซ LPG ส่วนใหญ่แล้วจะนำมาใช้ประโยชน์ที่เป็นเชื้อเพลิงในครัวเรือน และอุตสาหกรรม เป็นส่วนใหญ่ โดยมีการบรรจุอยู่ในรูปของเหลวในถังที่มีความทนความดันเพื่อให้ขนถ่ายได้สะดวก และง่ายขึ้น แต่ในยุคสมัยที่ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น ได้มีการประยุกต์ โดยการนำเอาก๊าซ LPG มาใช้แทนน้ำมันเบนซินในรถยนต์ เนื่องจากเนื้อก๊าซนั้นมีราคาที่ถูกกว่า และมีค่าออกเทนสูงกว่า ถึง 105 RON ซึ่งก๊าซ LPG นั้นมีคุณสมบัติต่างๆ ดังนี้้เครื่องยนต์ทดสอบมาตรฐานภายใต้สภาวะมาตรฐาน 900 รอบ ต่อนาที
1. วิวัฒนาการของระบบฉีดเชื้อเพลิงอิเล็กทรอนิกส์
วิศวกรชาวเยอรมันชื่อ ดร.ออตโต ( Dr. Otto ) ได้ประสบความสำเร็จในการสร้างเครื่องยนต์ 4 จังหวะ โดยใช้คาร์บูเรเตอร์เป็นอุปกรณ์ในการผลิตส่วนผสมไอดีป้อนให้กับเครื่องยนต์มานานกว่า 100 ปี และต่อมาวิศวกรรุ่นหลังได้ทำการพัฒนาประสิทธิภาพของเครื่องยนต์เผาไหม้ภายในโดยการนำเอาระบบฉีดเชื้อเพลิงเบนซินมาใช้แทน
ระบบคาร์บูเรเตอร์ประมาณปี พ.ศ. 2478 สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 วิศวกรจากบริษัท Bosch ประเทศเยอรมัน ได้เริ่มพัฒนานำเอาระบบฉีดเชื้อเพลิงเบนซิน ฉีดเข้าไปในห้องเผาไหม้ของเครื่องยนต์เบนซินโดยตรง โดยใช้ความดันของน้ำมันเบนซินประมาณ40–50 กก. /ซม2
ปี พ.ศ. 2497 ได้ออกแบบระบบฉีดเชื้อเพลิงใช้กับเครื่องยนต์ 4 จังหวะ แต่ในยุคแรก ๆ ราคาต้นทุนในการผลิตค่อนข้างสูง จึงมีใช้แต่ในกลุ่มรถแข่งเท่านั้น ภายหลังต่อมาได้พัฒนามาเป็นแบบฉีดเข้าท่อร่วมไอดี ลักษณะของปั้มเป็นแบบเดียวกับปั้มเครื่องยนต์ดีเซลแบบสูบเรียง
หลังจาก พ.ศ. 2520 เทคโนโลยีด้านอิเล็กทรอนิกส์ได้พัฒนาอย่างรวดเร็วและได้นำอิเล็กทรอนิกส์มาใช้งานกับรถยนต์หลายระบบ รวมทั้งระบบฉีดเชื้อเพลิงเบนซินที่ควบคุมการฉีดเชื้อเพลิงด้วยอิเล็กทรอนิกส์ การฉีดเชื้อเพลิงจะสัมพันธ์กับอุณหภูมิของอากาศ อุณหภูมิน้ำหล่อเย็น ความเร็วรอบ ส่งผลให้เครื่องยนต์มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงและลดมลพิษจากควันไอเสียได้ดีด้วย
กล่าวโดยสรุป วิวัฒนาการในการสร้างและพัฒนาเครื่องยนต์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ได้พัฒนาปรับปรุงเพื่อให้เครื่องยนต์ผลิตกำลังงานออกมามาก ๆ มีอัตราเร่งดี ตอบสนองการขับขี่ที่ดี แต่ต้องประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงและต้องไม่สร้างมลภาวะอากาศเป็นพิษ
2. อัตราส่วนผสม ( Mixture )
ประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบต่าง ๆ ดังนี้
อัตราส่วนผสมตามทฤษฎี (Theoretical air – fuel ratio) หมายถึงอัตราส่วนผสมที่เผาไหม้อย่างสมบูรณ์ คำนวณได้จากการสมดุลสมการ การสันดาประหว่างปริมาณอากาศกับปริมาณเชื้อเพลิง มีค่าเท่ากับ 14.7 : 1 โดยน้ำหนัก ( ปริมาณอากาศเท่ากับ 14.7 กรัม น้ำมันเชื้อเพลิง 1 กรัม ) หรือมีค่าเท่ากับ 10,000 : 1 โดยปริมาตร (ปริมาตรอากาศ 10,000 ลิตร ต่อ เชื้อเพลิง 1 ลิตร)
อัตราส่วนผสมหนา (Rich Mixture) หมายถึงอัตราส่วนผสมที่ใช้ปริมาณอากาศน้อยกว่าปริมาณตามทฤษฎี เช่น 14 : 1, 13 : 1 เป็นต้น
อัตราส่วนผสมบาง (Lean Mixture) หมายถึงอัตราส่วนผสมที่ใช้ปริมาณอากาศมากกว่าปริมาณตามทฤษฎี เช่น 15 : 1, 16 : 1 เป็นต้น
ชนิดของระบบฉีดเชื้อเพลิง
ระบบฉีดเชื้อเพลิงในรถยนต์นั่งมี 3 แบบ คือ
ส่วนประกอบของระบบ EFI
ตัวส่งข้อมูล (Sensors) หมายถึงส่วนประกอบต่าง ๆ ที่เป็นตัวส่งข้อมูลในการทำงานให้กล่อง ECU
ตัวควบคุมการทำงาน (ECU) หมายถึงกล่องควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ที่ทำหน้าที่รับข้อมูลจากตัวส่งข้อมูลแล้วทำการคำนวณข้อมูลต่าง ๆ เพื่อจะนำไปใช้งาน
ตัวทำงาน (Actuators) หมายถึง ตัวรับข้อมูลจาก ECU แล้วทำตามที่ ECU สั่งให้ทำ เช่น หัวฉีดประจำสูบ หรือตัวควบคุมรอบเดินเบา
ส่วนประกอบระบบฉีดเชื้อเพลิงแอลพีจี
ECU
ECU ทำหน้าที่ ควบคุมปริมาณการฉีดแก๊สของหัวฉีดแก๊สเพื่อให้เหมาะสมแก่ความต้องการของเครื่องยนต์ในแต่ละสภาวะการทำงาน โดยการับสัญญาณการฉีดน้ำมันจาก ECU ของรถยนต์และนำค่าที่ได้มาแปลงเป็นสัญญาณการฉีดแก๊ส
กล่อง ECU สามารถติดตั้งได้กับหม้อต้ม และหัวฉีดหลายยี่ห้อหลายชนิด ก่อนติดตั้งควรศึกษาคู่มือ โดยละเอียดก่อน สามารถขยายย่านการใช้กับเครื่องยนต์หลายสูบ ดังนี้
รุ่น 4 สูบ ใช้ได้กับเครื่องยนต์ 3-4 สูบ
รุ่น 6 สูบ ใช้ได้กับเครื่องยนต์ 3-6 สูบ
รุ่น 8 สูบ ใช้ได้กับเครื่องยนต์ 3-8 สูบ
ข้อควรจำ ควรติดตั้งกล่อง ECU ให้ห่างจากความร้อนและน้ำ
หม้อต้ม (REDUCER)
หม้อต้ม (Reducer) ทำหน้าที่ ลดแรงดันของแก๊ส และเปลี่ยนสถานะของแก๊สจากของเหลวให้กลายเป็นไอ โดยใช้ความร้อนจากน้ำหล่อเย็นเครื่องยนต์ เย็น และจ่าย LPG ให้รางหัวฉีด
หม้อต้มแต่ละรุ่นจะมีความสามารถในการจ่ายแก๊สให้กับเครื่องยนต์ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับห้องลดแรงดันและห้องสำรองแก๊ส ซึ่งอยู่ภายในหม้อต้ม ดังนั้น ควรเลือกหม้อต้มให้เหมาะสมกับขนาดเครื่องยนต์โดยความสามารถในการจ่ายแก๊สของหม้อต้ม สามารถดูได้จากเอกสารที่แนบมากับอุปกรณ์หรือสอบถามจากตัวแทนจำหน่าย
ข้อแนะนำเกี่ยวกับหม้อต้ม
ขนาดท่อของหม้อต้ม
1) ท่อน้ำขนาด 16 มม. 2) แป๊บจากถัง 6 มม. (2 ½ หุน)
3) ท่อ LPG ออก 12-14 มม.
เซ็นเซอร์อุณหภูมิหม้อต้ม
เซนแซอร์อุณหภูมิหม้อต้ม ทำหน้าที่ วัดความร้อนของหม้อต้ และส่งสัญญาณให้กับ ECU
หัวฉีดแก๊ส (LPG INJECTOR)
หัวฉีดแก๊ส(LPG INJECTOR) ทำหน้าที่จ่ายแก๊สเข้าสู่เครื่องยนต์เมื่อแก๊สถูกลดแรงดันโดยหม้อต้มแก๊สแล้วแก๊สจะไปรอที่หัวฉีดแก๊สโดยมีสถานะเป็นไอมีแรงดันประมาณ 100 - 120 kPa เมื่อหัวฉีดแก๊สได้รับสัญญาณจาก ECU หัวฉีดแก๊สจะเปิดเพื่อให้แก๊สเข้าสู่เครื่องยนต์ ในปริมาณที่ ECU กำหนด หัวฉีดแก๊สมีหลายรูปแบบทั้งแบบ หัวแยกอิสระ (หัวเดี่ยว) หรือ หัวต่อติดกัน สองหัว สามหัว สี่หัว ในกรณีที่หัวต่อติดกันนิยมเรียกหัวฉีดแบบราง
หัวฉีดแก๊สจะถูกติดตั้งบนรางหัวฉีดรางหัวฉีด LPG (Injection Rail) โดยรางหัวฉีดจะมีให้เลือกหลายขนาด ดังนี้
1) เครื่องยนต์ 4 สูบ สามารถใช้รางแบบ 4 สูบ จำนวน 1 ราง
รางแบบ 2 สูบ จำนวน 2 ราง
2) เครื่องยนต์ 6 สูบ สามารถใช้รางแบบ 2 สูบ จำนวน 3 ราง
รางแบบ 3 สูบ จำนวน 2 ราง
การเลือกขนาดหัวฉีด (LPG Injector Nozzles Selection)
เบื้องต้นควรเลือกขนาดหัวฉีดตามตารางให้เหมาะสมกับขนาดของเครื่องยนต์ หากรูโตไม่พอให้เจาะขยายรูได้
เครื่องยนต์ 4 สูบ |
เครื่องยนต์ 6 สูบ |
||
ขนาดเครื่องยนต์(ซีซี) |
ขนาดรูหัวฉีดที่เจาะ(มม.) |
ขนาดเครื่องยนต์(ซีซี) |
ขนาดรูหัวฉีดที่เจาะ(มม.) |
1500 |
1.9 |
2000 |
1.7 |
1600 |
2.0 |
2200 |
1.8 |
1800 |
2.2 |
2500 |
2.0 |
2000 |
2.4 |
2600 |
2.2 |
2400 |
2.8 |
3000 |
2.4 |
3000 |
3.4 |
|
|
ข้อควรจำ ขนาดรูในตารางเหมาะสำหรับความดันในหม้อต้มที่ 100 kPa
ถ้าขนาดรูหัวฉีดเล็กไป ทำให้ใหญ่ขึ้นได้โดยการเจาะ
ถ้าขนาดรูหัวฉีดใหญ่ไป (กรณีเครื่องยนต์เล็ก) ใช้ตะกั่วบัดกรีปิดรูหัวฉีดและใช้สว่านเจาะตามขนาดที่ต้องการ
ในกรณีไม่แน่ใจขนาดของการเลือกใช้หัวฉีด แนะนำให้เลือกขนาดเล็กไว้ก่อน
การติดตั้งรางหัวฉีด (Injection Rail) มีหลักปฏิบัติดังนี้
น็อตหัวฉีด (LPG INJECTOR NOZZLE)
น็อตหัวฉีด (LPG INJECTOR NOZZLE) ทำหน้าที่ กำหนดขนาดของหัวฉีดให้เหมาะสมกับขนาดของเครื่องยนต์ การกำหนดขนาดของหัวฉีดทำได้โดยการเจาะรูให้เหมาะสมกับขนาดของเครื่องยนต์ (ซึ่งจะกล่าวถึงการคำนวณขนาดที่เหมาะสมในบทต่อไป) ขนาดหัวฉีดมีผลกับอัตราเร่งของเครื่องยนต์ อัตราการเผาผลาญเชื้อเพลิง ดังนั้น ควรเลือกขนาดของหัวฉีดให้เหมาะสมกับขนาดของเครื่องยนต์
เซ็นเซอร์อุณหภูมิรางหัวฉีด (LPG INJECTOR TEMPERATURE SENSOR)
เซ็นเซอร์อุณหภูมิรางหัวฉีด (LPG INJECTOR TEMPERATURE SENSOR) ทำหน้าที่ วัดอุณหภูมิแก๊สจากรางหัวฉีดและส่งสัญญาณให้กับ ECU
น็อตฝังท่อไอดี (INLET MANIFOLD LPG NOZZLE)
น็อตฝังท่อไอดี (INLET MANIFOLD LPG NOZZLE) ทำหน้าที่ เป็นทางเข้าของแก๊สสู่เครื่องยนต์ โดยเจาะท่อไอดี และฝังน็อตเข้าที่ท่อไอดีในตำแหน่งที่ใกล้เคียงกับหัวฉีดน้ำมัน
กรองแก๊ส (LPG FILTER)
กรองแก๊ส (LPG FILTER) ทำหน้าที่ กรองสิ่งสกปรกที่ปะปนมากับแก๊สก่อนเข้าเครื่องยนต์
เซ็นเซอร์แรงดัน (MAP SENSOR)
เซ็นเซอร์แรงดัน (MAP SENSOR) ทำหน้าที่ วัดแรงดันของแก๊สที่อยู่ในรางหัวฉีด และวัดแรงดันในท่อไอดี เพื่อส่งสัญญาณให้กับ ECU ในกรณีที่ท่อแก๊สขาด แรงดันแก๊สที่หัวฉีดลดลง MAP SENSOR จะส่งสัญญาณให้ ECU ตัดการจ่ายแก๊สจากถังทันทีสวิตซ์ (FUEL SWITCH)
สวิตซ์ (FUEL SWITCH) ทำหน้าที่ เปลี่ยนระบบระหว่างแก๊สกับน้ำมัน และบอกระดับแก๊สที่อยู่ในถัง
สวิตซ์เปลี่ยนเชื้อเพลิง (Fuel Switch)
เทคนิคการติดตั้งระบบฉีด LPG